วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

: : เ ฮี ย ฮ้ อ..งานเข้าแล้วมั๊ยล่ะ..!!!



เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ บิ๊กบอสอาร์เอสฯ แถลงอ้าง
แอนนี่ บรู๊ค ดาราสาวที่อ้างว่ามีลูกกับ ฟิล์ม รัฐภูมิ คบกับ
ผู้ชายรวดเดียว 4 คน พร้อมขอค่าทำคลอดคนละ2.5แสน
ทั้งยังอ้างผู้บริหารช่อง 3 เผยว่า จุ๊น กิตติคุณนักแสดงหนุ่ม
อีกคน ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูกโยงเข้ามาพัวพัน

@"จุ๊น"ลั่นไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง"แอนนี่" วอนทุกฝ่ายหยุด
ดาราสาวไม่โต้"เฮียฮ้อ"บอกพูดความจริงหมดแล้ว

"จุ๊น"ลั่นไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งแอนนี่
วอนทุกคนหยุดสงสารนักแสดงสาว-ลูก

@"องค์กรสตรี" รุมถล่ม "เฮียฮ้อ"
เหยียดหยาม-ดูถูกเพศหญิง ปลุกแบนศิลปิน-ผลงาน"อาร์เอส"

@ ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและสตรีจ.ชุมพรซัด"เฮียฮ้อ"
ดูถูกเพศหญิงปลุกต้านศิลปิน-ผลงานค่าย"อาร์เอส"

@ มูลนิธิเพื่อนหญิงให้สังคมรุมประณาม"เฮียฮ้อ
ยุ"แอนนี่" ฟ้องหมิ่นทำลายชื่อเสียงผู้หญิง ให้นึกถึงเด็ก

ที่มา จากมติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1285730891&grpid=00&catid=no

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1285612749&grpid=00&catid=



ทีนี้เฮียฮ้อไม่งานเข้าได้ยังงัยล่ะค่ะ
ในเมื่อโดนปลุกกระแส ซะขนาดนี้
เคยได้ยินคำโบราณ ท่านกล่าวว่า
" ปลาหมอตายเพราะปาก "
....แต่....
ตอนนี้" เฮียกำลังจะตายเพราะฟิมล์ "


วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

เมื่อ Robert Amsterdam พบ "ใจ อึ้งภากรณ์" ที่ "ราชประสงค์" ลอนดอน


คนไทยที่ลอนดอนส่งรูปชุดนี้มาให้ เป็นการประท้วงของคนเสื้อแดงที่เมืองหลวงของอังกฤษเมื่อไม่กี่วันก่อน..19 กันยายน, ครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ, มีป้าย "ราชประสงค์" เป็นสัญลักษณ์ว่า "มีคนตายที่นี่"

ที่น่าสนใจคือการปรากฏตัวของ Robert Amsterdam ที่ปรึกษากฎหมายของทักษิณ ชินวัตรยืนเคียงคู่กับ "ใจ อึ้งภากรณ์"

พูดอะไรกัน, ทำอะไรกันไม่มีรายงานรายละเอียด

พอถามแหล่งข่าวที่ไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย, แกก็บอกว่า "ก็รู้ ๆ กันอยู่"

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

บทสัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ




ขอเป็น"เติ้งเสี่ยวจิ๋ว"


โพสต์ทูเดย์


สัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้อาสาเป็นโซ่ข้อกลางดับไฟขัดแย้งทางการเมือง พร้อมเสนอแนวทางปรองดองด้วยการตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นแก้วิกฤต...

“เรื่องปรองดองเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องสนับสนุน แต่เจ็บใจเตือนรัฐบาลมาตั้งแต่ต้นแล้ว เขาไม่ฟัง เอาล่ะวันนี้ยังมีช่องทางอยู่ เราก็ต้องเสนอไปเพื่อแก้วิกฤต”

“บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้อาสาเป็น “โซ่ข้อกลาง” ตั้งแต่เกิดวิกฤตเหลืองแดงใหม่ๆ แม้วันนี้ไฟความขัดแย้งยังลุกโชนจากเหตุการณ์พฤษภา 2553 แต่เจ้าตัวยังยืนยันว่า ต้องปรองดองถึงจะแก้ปัญหาขณะนี้ ทว่า สูตรของบิ๊กจิ๋วต่างจากพรรคอื่นไม่ใช่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่เป็น “รัฐบาลเฉพาะกาล” ให้ทุกฝ่ายมาทำหน้าที่แก้วิกฤตชั่วขณะ

นัดสนทนากันที่ชั้น 8 พรรคเพื่อไทย ห้องประธานพรรคเพื่อไทย ติดกับห้องทำงาน สส.ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง “พ่อใหญ่จิ๋ว” ในมาดกระฉับกระเฉงอวดห้องทันที “นี่ขนาดไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคนะ ห้องยังใหญ่ขนาดนี้เลย”

“บิ๊กจิ๋ว” พูดเสียงเข้มถึงเหตุผลที่ทุกขั้วต้องปรองดองว่า ทุกอย่างต้องรีบทำเพราะถ้าปล่อยเวลาเนิ่นนาน คู่ขัดแย้งก็จะปะทะกันไม่เลิก อีก 10 ปีก็ไม่จบ สร้างความเสียหายกับประเทศ กระบวนการปรองดองที่จะเกิดขึ้น ได้พูดหลายครั้งแล้วต้องมี 3 สถาบัน 1.สถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าพระองค์ท่านเสด็จลงมาทุกอย่างก็จบ 2.กองทัพ วันนี้ทหารไปไม่ได้แล้ว เพราะทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง และ 3.ที่หลายคนตั้งความหวัง คือ รัฐบาล มีหน้าที่แก้โดยตรง แต่ถ้ายังไม่ทำอีก ประชาชนก็จะลุกขึ้นมาทำเองแล้วมันจะเสียหาย

พล.อ.ชวลิต เล่าว่า ได้เตือนรัฐบาลมาตลอดตั้งแต่ก่อนช่วงเสื้อแดงชุมนุมใหม่ๆ ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมีจิตใจที่จะเริ่มปรองดองก่อน ถ้ายังมองฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้าย หรือรัฐบาลไปไล่ล่าคนฝั่งตรงข้าม กล่าวหาล้มสถาบัน ก็ปรองดองไม่ได้

“ที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมา แล้วกี่ปีจะเสร็จ อย่าง นพ.ประเวศ กับท่านอานันท์ แล้วท่านจะพูดกับใคร เพราะความขัดแย้งมันเกิดระหว่างรัฐบาลที่ต้องเป็นผู้แก้ปัญหากับคู่กรณี”

การทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ที่ พล.อ.ชวลิต มีบทบาทในการออกนโยบาย 66/23 เอานักศึกษาออกจากป่าสำเร็จ เป็นตัวอย่างที่บิ๊กจิ๋วนำมาเทียบเคียงกับการแก้วิกฤตหลัง “พฤษภามหาโหด” ครั้งนี้ ว่า ไม่ต่างกัน ครั้งนั้น 1.คู่กรณีฟัดกันมา 20 ปีแล้วเสียหายทั้งคู่ 2.พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน สปอนเซอร์ของนักศึกษาได้ยุติบทบาทและเปลี่ยนนโยบาย 3.สภาพแวดล้อมต่างๆ ของโลก เริ่มเปลี่ยนแปลง

“รัฐบาลเฉพาะกาล คือ เอาทั้งสองฝ่ายมาอยู่ร่วมกันแก้ไข เฮ้ย ใครดี ประชาธิปัตย์ คนนี้เก่งมานี่นะ ไอ้เสื้อเหลือง เสื้อแดง มาอยู่ที่นี่นะ มีเป้าหมายอันเดียว ร่วมกันแก้ไขความขัดแย้ง คนคู่กรณีมาอยู่ร่วมกัน บนความรับผิดชอบร่วมกันภายใต้พระปรมาภิไธย อย่างนี้ถึงจะเดินได้ เราคนไทยต่างเป็นพี่น้องกันนะ ไม่มีใครชนะ แต่มีคนแพ้ทั้งคู่”

พล.อ.ชวลิต เปรียบว่า “รัฐบาลเฉพาะกาล” ไม่ต่างจากรูปแบบ “เขมรสามฝ่าย” ที่ดึงคู่กรณีมาร่วมกันทำงานจนแก้ปัญหาความขัดแย้งสำเร็จหลังเกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์

“ของเขาไม่ใช่สองฝ่าย แต่เป็นสามฝ่าย มันตีกันจะตาย เข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นเขมรสามฝ่าย เมื่อทำงานเสร็จ ก็ปรับตัวเองออกมา นี่เป็นวิธีแก้ปัญหา (เสียงเข้ม) ตอนนั้นเราแก้สำเร็จที่กัมพูชา เราก็ไปบอกพม่าให้แก้อย่างนี้เหมือนกัน สมัยที่โซหม่อง เป็นผู้นำอยู่ แต่เขาก็ไม่ยอมรับ มันเลยมีปัญหาจนถึงทุกวันนี้” ทว่า รัฐบาลเฉพาะกาลดูท่าจะล้ม เมื่อฝ่ายรัฐบาลไม่มีสัญญาณตอบรับ แต่ พล.อ.ชวลิต ย้ำว่า ถ้าทิ้งความขัดแย้งไว้นานจนถึงการเลือกตั้ง ก็จะปะทุมากขึ้น มันเหนื่อยนะ

ฟันธงได้ไหม พรรคเพื่อไทยไม่ค้านเรื่องนี้?

“บิ๊กจิ๋ว” ทำท่างง “เพื่อไทยที่ไหน ยังไม่เห็นมีเลย เขาพร้อมเดินแนวนี้กันหมด”

“มันยังไม่มีข้อเสนออย่างเป็นทางการจากรัฐบาล ผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เสนอเป็นกรอบ ก็บอกแล้ว เลือกตั้งใหม่ก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา แล้วจะเอาอย่างไรดี อย่างน้อยที่สุดเราเปิดช่องให้เดิน สำคัญคือ คนถืออำนาจ คือ รัฐบาล ต้องเป็นคนรับผิดชอบ” พล.อ.ชวลิต พูดขึงขัง

ทีมงานยิงคำถามไม่เลิก เสียงต้านในเพื่อไทย กลายเป็นว่าทะเลาะกันเอง อดีตนายกฯ หัวเราะในลำคอ

“นั่นมันเป็นเรื่องที่ควรขัดแย้ง แต่ขอให้เรายืนบนหลักการที่ถูกต้อง มันก็เท่านั้นเอง คุณอภิสิทธิ์ ไม่ได้เสนอแนวทางอะไรเลย ปล่อยให้ฆ่ากันตาย เมื่อ 20 กว่าปีแล้ว มันยิ่งกว่านี้ ฆ่ากัน เขายังอโหสิกรรมกันได้ จนวันนี้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้กี่ตังค์ นี่คือสิ่งที่ได้เห็นใจกัน แต่นายกฯ ไม่มีอะไรในลักษณะนี้ออกมา มันก็ยุ่ง ยิ่งอารมณ์ขณะนี้มันเลยโกรธกันตาย”

พล.อ.ชวลิต ย้ำว่า ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์จุดพลุปรองดองก่อน ก็เหมือนกับลูกบอลที่ถูกเขี่ยออก ทุกอย่างจะเริ่มวิ่ง ปัญหาก็จบง่าย แต่เรื่องเหล่านี้ถูกพิสูจน์ในประวัติศาสตร์มามากแล้ว ส่วนการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคภูมิใจไทยที่เปรี้ยงปร้างขณะนี้ เป็นเรื่องที่นายเนวิน ชิดชอบ กำลังหาช่องออกเล่นธรรมดา อย่าคิดอะไรมาก

ก่อนจะร่ายยาวว่า ปัญหาบ้านเราที่มันเกิดขึ้นมีประเด็นเดียว คือ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ยังไม่เป็นจริง โครงสร้างของสังคมยังเป็นรูปสามเหลี่ยม คนรวยอยู่ข้างบน คนจนอยู่ฐานล่างจำนวนมาก มีความแตกต่างเยอะ สังคมไหนที่เป็นอย่างนี้ สังคมนั้นต้องแตกแยกแน่นอน หากไม่เร่งแก้ เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแน่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“สังคมอยู่กับที่ไม่ได้ มันได้เวลาแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลง วันนี้จังหวะเวลาต่างๆ มันให้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น ข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น สถานการณ์มันชี้ว่า มันจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราอยากเห็นเปลี่ยนแบบสันติวิธีและพาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า”

บิ๊กจิ๋ว บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงมีกระบวนการที่ใหญ่โตมโหฬารมาก อย่างพลังเสื้อแดงเราอยากให้ไปสู่เป้าหมายที่สร้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยที่เป็นจริงให้ได้ นี่คือ หัวใจ เพราะถ้าพลาดตรงนี้แล้ว ยังไม่แน่ใจว่า ...มันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร

ลับลวงจิ๋ว- “เป็นนายกฯให้โง่”

คำถามที่หลายคนสงสัยมาอยู่พรรคเพื่อไทยเพราะหวังเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ “บิ๊กจิ๋ว”ตอบสั้นๆ พลางหัวเราะ“เป็นให้โง่”

ทำไม? อ้าว...ก็เป็นมาแล้ว ไม่เอาแล้ว ยุ่งจะตาย... (เน้นเสียง) ไม่ดีหรอก เพราะท่านยงยุทธ วิชัยดิษฐ กรุณาทำมาให้ ยามพรรคยากลำบาก แล้วอยู่ดีๆ ก็เอาท่าน ยงยุทธ ออกไป และพอท่านจะกลับมาเป็น ก็จะไม่ให้ท่านเป็นแล้ว...น่าเกลียด

กับกระแสข่าวว่า บิ๊กจิ๋วสนับสนุน “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเน้นแนวปรองดองด้วยกัน เจ้าตัวพูดกว้างๆ ก็สนับสนุนกันทั้งนั้นเพราะอยากให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมา เดี๋ยวนี้เมืองไทยใช้แต่คนแก่ๆ อย่างเมืองจีนเขาเอาคนรุ่นใหม่มาทำงานแล้ว

“ตอนนี้เราอายุก็น้อยแค่ 21 ก็ถึงร้อย (หัวเราะ) เราทำอย่างประเทศอื่นที่เขาทำดีกว่า ให้เจนเนเรชั่นใหม่ทำ เราไปเป็น เติ้ง
เสี่ยว ผิง แห่งเมืองไทยดีกว่า ใช่ไหม กุมความคิด กุมแนวทางอะไรต่างๆ มีประสบการณ์ ก็มาตักเตือนเขา ช่วยเหลือลูกหลานไม่ดีกว่าหรือ”

อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับการที่แกนนำพรรคหลายคนประกาศอยากเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะอย่างน้อยก็แสดงว่า พรรคนี้มีคนเจ๋ง

“พรรคมันใหญ่ก็อย่างนี้แหละ คนนั้นก็มาดึง คนนี้ก็จะมาดึง ปุทโธ่... ทำได้อย่างนี้ ก็น่าชมเชยแล้ว”

ถามตรงๆหลายคนว่า ท่านคิดผิดมาอยู่กับเพื่อไทย? บิ๊กจิ๋วอุทานทันที “ห่วย ... ไปเชื่อเขา สบายจะตาย โอ้โห.. ห้องนี่ก็ใหญ่ฉิบเป๋ง”

ประธานพรรคเพื่อไทย บอกว่า ตอนนี้กำลังปรับระบบในพรรคให้กระชับ เป็นองค์กรนำที่ดีที่ถูกต้อง การประสานงานจะให้ สส.เป็นใหญ่ ทุกอย่างต้องจากล่างขึ้นบน ขึ้นกับมวลชนไม่ใช่บนลงล่าง

“เราต้องการให้สส.เป็นใหญ่ บางคนบอกต้อง ชินวัตรไม่จริง ชินวัตรเขาก็พยายามดีลูท (dilute เจือจาง) อะไรต่างๆ ออกไป ที่จริงเขาก็อยู่เพื่อจะช่วย แต่เมื่อมีเสียงอย่างนั้นก็ไม่เอา ก็ดี”

แต่ถ้าชินวัตรมาดูเองก็ย้ำแบรนด์ทักษิณดั้งเดิมไม่ดีกว่าหรือ

“ก็ๆๆ ... ก็แล้วแต่นะ...ก็ช่วยกันนะ ไม่ใช่เอาคนนู้น คนนี้ แต่พรรคการเมืองมันต้อง สำหรับทุกฝ่าย”

อย่างไรก็ตาม บิ๊กจิ๋ว ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่ได้เป็นไพ่ในสำรับของทักษิณที่ใช้ให้เดินเกมต่างๆ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีรุ่นพลังประชาชน ก็คงเลิกระแวงไปนานแล้ว

“เราเข้ามาตั้งแต่สมัยคุณสมัครแล้วไง น้าหมักก็ไม่ยอม น้าหมักกลัวว่า เราเข้ามาเดี๋ยวเรา... (หัวเราะ) น้าหมัก บอกให้เราลง สส.เบอร์ 6 ที่อีสานเหนือ บอกว่า ของผมจะได้ปาร์ตี้ลิสต์ 10 คน ส่วนท่านขอลงเบอร์1 ที่กรุงเทพ เพราะบอกว่าจะได้แค่ 3 คน”

“น้าหมักกับผมมีเรื่องดีกันเยอะ แต่แกมากลัวตอนหลัง ไม่รู้กลัวเรื่องอะไร ่ท่านสมชายก็พยายามมาช่วย แต่ท่านสมชายก็เกิดมีความเข้าใจอะไรไม่รู้ ครั้งแรกก็ให้เราไปดูแลฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ก็อาจมีคนห่วงว่าเราจะไปอยู่กลาโหม เลยมีข่าวจะเปลี่ยนเราเป็นรมว.ศึกษาธิการ (หัวเราะ) เราก็ไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งมีเรื่องปราบปรามวันที่ 7 ตุลา แล้วผมก็ลาออกก็เพื่อช่วยท่านสมชายโทรศัพท์บอกเองว่า ‘ท่านนายกฯผมออกเอง เราต้องเสียแขนเสียขา รักษาชีวิต ผมจะเป็นแขนขาให้ท่านบริหารไป’บอกอย่างนั้น ไม่ใช่ว่า เราหนีออก แต่เป็นการออกเพื่อช่วย (หัวเราะ) คนมันคิดว่า หนี โด่เอ้ย... ช่วยเขาทั้งนั้นตลอดชีวิต”

ก่อนที่พล.อ.ชวลิต ยอมรับตรงๆถึงภาพที่ทำให้คนนอกและคนในพรรค สับสน ก็เพราะไม่เข้าใจในบทบาทเขา ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคู่ขัดแย้งเพื่อแก้วิกฤต พร้อมยืนยัน ที่สุด หากพ.ต.ท.ทักษิณ อยากเห็นบ้านเมืองสงบจริง ก็ต้องฟังเขา ถ้าไม่ฟังก็จะไม่ทำให้

“นี่นะ...เมีย (ลากเสียง) เขาอยากจะให้พักได้แล้ว ไปเที่ยวบ้าง ไอ้เรา ไม่ยุ่งก็ไม่ได้ มันไม่เห็นทางออก เรามีส่วนสร้างความมั่นคงให้กับประเทศนี้มากับมือ พูดแล้วอะไรก็แล้ว ก็ยังถูกว่า โซ่ข้อกลางมันก็ว่าโซ่สนิม เราอธิบายก็ไม่เข้าใจ จึงกระโดดเข้ามาและก็จำกัดภาระหน้าที่ตัวเอง” พล.อ.ชวลิต ทิ้งท้ายด้วยอาการ

จม.น้อยคืนดีป๋า

ก่อนเข้าพรรคเพื่อไทยเมื่อปีก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แถลงจุดยืน 5 ข้อ หนึ่งในนั้นคือจะปกป้องพิทักษ์ราช|บัลลังก์ แต่นับวันการพาดพิงโจมตีสถาบันก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยต้องแก้ภาพด้วยความพยายามดึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อดึงภาพความจงรักภักดีให้เด่นขึ้น

พล.อ.ชวลิต ย้ำว่า สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งคู่บ้านคู่เมืองและเป็นองค์ประกอบของประเทศ ไม่เหมือนต่างประเทศที่สถาบันเป็นแค่สัญลักษณ์

ส่วนกรณีที่เสื้อแดงบางกลุ่ม เช่น แดงสยาม ต้องการให้สถาบันเป็นสัญลักษณ์เหมือนประเทศญี่ปุ่น อังกฤษนั้น บิ๊กจิ๋วเห็นว่าอาจเป็นความรู้สึกที่เขาศึกษามาอย่างนั้น ความจริงเรื่องนี้คนไทยควรต้องช่วยกันเสริมสร้างพระเกียรติยศ แต่ไม่ใช่ว่าช่วยกันร้องเพลงชาติ หรือเดินขบวนปั่นจักรยาน มันต้องทำด้วยการประพฤติในสิ่งที่พระองค์ได้ชี้ หรือบางทีใครเข้าใจผิด ก็ต้องช่วยกันชี้แจง

“คนก็พูดกันไป มันจะไม่จงรักภักดีอย่างไร ที่นี่ (เพื่อไทย) มีอดีต ผบ.ทบ. 3 คน อดีตนายกฯ อีก 3 นะ (เน้นเสียง) อดีตนายพลเป็นร้อย อดีตข้าราชการผู้ใหญ่ก็เป็นหมื่นในพรรคนี้”

สนทนาไปซักพัก “บิ๊กจิ๋ว” บอกให้ถามเรื่องดุๆ บ้าง จึงซักถึงความสัมพันธ์กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่เหินห่างไปนานนับแต่ลูกป๋าคนนี้เข้าพรรคเพื่อไทย

พล.อ.ชวลิต บอกว่า ที่ผ่านมาคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยา เคยส่งผลไม้ไปให้ “ป๋าเปรม” แต่ช่วงนั้น “ป๋าเปรม” ปฏิเสธเพราะงดรับของทุกคน ล่าสุดเมื่อ 2 วันก่อนส่งการ์ดไปให้ “ป๋าเปรม” ในการ์ดเขียนว่า “ปีก่อนๆ นั้นมีโอกาส มีโชค มีวาสนาได้มาขอพรป๋าครั้งหนึ่ง แต่ปีนี้มีปัญหาทำได้แต่เพียงว่า ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่ง|ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระบารมีปกเกล้าของพระเจ้าอยู่หัว คุ้มครองท่านด้วย”

บิ๊กจิ๋ว เล่าว่า หลังจากส่งการ์ดไป ก็ได้ข่าวว่า พล.อ.เปรม เขียนข้อความว่า “จิ๋ว?” ทำนองว่า ใช่จิ๋วเปล่าวะ

“คือท่านน่ารักล่ะ ท่านเตือนเราด้วยความรักห่วงใย เพราะเราทำงานให้ท่านมาและท่านก็อบรมสั่งสอนมาตลอด ท่านจะว่าอะไร เราก็โกรธไม่ลง ท่านอาจห่วงว่าเราคิดผิดที่เข้าพรรคนี้ ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ใช่ เราอยู่ตรงไหนก็ได้ที่ทำงานให้บ้านเมืองมีสันติสุข และที่วันนี้ไม่ได้ไปเจอท่าน เพราะเราถูกแยกแยะแล้วว่า เป็นนักการเมือง แล้วท่านเองก็ไม่อยากยุ่งกับนักการเมือง ฉะนั้นเราต้องเข้าใจท่าน”

อดีตนายทหารคนสนิทป๋า รำลึกอดีตว่า สมัยก่อนเราทำงาน เข้าออกสนามด้วยกัน กระทั่งขึ้น ฮ. จะชนภูเขาตาย ช่วงหนึ่งบรรดา “ลูกป๋า” จะไปหาอาหารดีๆ ฟังเพลงเพราะๆ ที่ห้องข้างล่างบ้านสี่เสาเทเวศร์ประจำทุก 5 เดือน เป็นบรรยากาศที่ชื่นมื่น สรุปได้ว่า บ้านเมืองเราอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้เพราะ พล.อ.เปรม ที่เป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งที่เราให้เกียรติและเคารพ

ถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่หลายคนเป็นห่วงถึงความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พล.อ.ชวลิต บอกว่า น้องๆ ทหารทุกคนควรตระหนักในหน้าที่ที่ต้องระมัดระวังเพราะกองทัพเป็นของประชาชน และเป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนการยึดอำนาจแม้ว่าจะพูดกันตลอดว่า ไม่มีอีกแล้ว แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องอนาคต ตอบไม่ได้ว่าจะมีอีกหรือไม่ เพราะทหารออกมาทีไร ก็มักบอกว่า “ครั้งสุดท้าย” ทุกที จนวันนี้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับแล้ว มากกว่ารัฐธรรมนูญในประเทศยุโรปรวมกันเสียอีก

เพื่อการเมืองชั่วจริงๆ

เพื่อการเมืองชั่วจริงๆ


คมชัดลึก : ในที่สุดสถานทูตซาอุฯ ในไทยก็เลิกเล่นลูกยื้อการออกวีซ่าให้ชาวมุสลิมในไทย เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ หลังจาก พล ต.ท. สมคิด บุญถนอม ประกาศไม่ขอรับตำแหน่งให้เป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. หลังจากงอแง เล่นแง่นานกว่าสัปดาห์

มีลูกยุ ลูกเสี้ยม จากนักการเมืองเพื่อคนหนีคุก สร้างปัญหาโดยตลอด!

พล.ต.ท สมคิด ประกาศชัดเจนถึงเจตนา "เพื่อพี่น้องไทยมุสลิมจะได้ไม่สูญเสียโอกาส "ครั้งหนึ่งในชีวิต" ที่จะได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ จึงขอไม่รับตำแหน่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้พี่น้องไทยมุสลิมได้ไปสู่ดินแดนแห่งองค์พระอัลเลาะห์"

หลังจากคำประกาศ ก็ได้รับคำยกย่องจากทุกฝ่าย ทั้งชาวมุสลิม แต่ไม่มีเสียงสักแอะ จากพรรคผีโม่แป้ง ซึ่งทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้ซาอุฯ

เจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุฯ เลิกงอแงทันทีหลังจากก่อนหน้านี้บอกว่าจะมีคนลาพักร้อนหลายคน ทำให้งานออกวีซ่าชักช้า ขนาดท่านจุฬาราชมนตรีก็ยังมีปัญหาวีซ่า อ้างว่าโควตาเต็ม

ตอนนี้เจ้าหน้าที่ซาอุฯ ขยันปัจจุบันทันด่วน บอกว่าสามารถจัดการวีซ่าได้มากถึง 2,000 คนต่อวัน และจะมีคนไปเป็นหมื่นๆ คนก็ไม่มีปัญหาแล้ว

เป็นการเสียสละตำแหน่ง ซึ่งซาอุฯ ไม่น่าจะบ้องตื้นเพราะเก้าอี้ผู้ช่วย ผบ.ตร. นั้นเป็นตำแหน่งสูงกว่าเดิมก็จริง แต่อยู่ในขั้น “บ่มิไก๊” ถ้าอยู่ในตำแหน่งเดิมได้ พล.ต.ท.สมคิด ย่อมไม่รังเกียจ!

ก.ตร.ประชุมตกลงให้ “เดอะคิด” ไปอยู่ที่ไหน ป่านนี้คงรู้กันแล้ว แต่โอกาสที่จะนั่งอยู่ที่เดิม เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 คุมภาคเหนือตอนบนเหมือนเดิมคงไม่ได้ จะทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายป่วนอีก

ที่สำคัญ พวกเสื้อแดงภาคเหนือ และพรรคเพื่อคนหนีคุกต้องโวยอีก!

ถ้าให้มานั่งเป็นผู้บัญชาการภาค 1 คุมพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ พวกแดงชายขอบ และพรรคเพื่อคนหนีคุก ก็ต้องไม่ยอมอีก และจะเสี้ยมซาอุฯ ให้เล่นแง่ อ้างว่าเป็นตำแหน่งสำคัญ มีอิทธิพล อาจส่งผลกระทบต่อรูปคดี

ภาค 1 คุมจังหวัดเสื้อแดงก๊วนใหญ่ เช่นปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ ดังนั้นพวกหัวโจกแดงทั้งในและนอกสภาต้องฟูมฟาย โวยวาย

ซาอุฯ จะอ้างตามสัญชาตญาณแขกอาหรับ ซึ่งยโส โอหัง หลังจากร่ำรวยจากน้ำมัน กุมทิศทางเศรษฐกิจโลก นึกว่าประเทศไทยต้องง้อตลอดกาล

เรามีปัญหากับซาอุฯ ไม่เป็นไร เพราะส่วนหนึ่งคนไทย และตำรวจไทยส่วนหนึ่งไปทำแสบ เช่นขโมยเพชรซาอุฯ ฆ่านักธุรกิจและเจ้าหน้าที่สถานทูต แต่คดีขโมยเพชรก็ได้ตัวคนร้าย คือนายเกรียงไกร เตชะโม่ง

ส่วนพวกขโมยต่อเนื่อง มีทั้งตำรวจหลายระดับ และนักการเมือง เช่น ป๋าลอ ก็ยังอยู่ในคุกนานกว่า 10 ปี โดนโทษประหารชีวิตไปแล้ว แต่ยังมีคดีค้างอีก จะสิ้นสุดในชาตินี้ หรือตายคาคุกก่อนคดีสุดท้ายจะถูกตัดสิน ก็ต้องรอ

อย่านึกว่าคนไทยบางกลุ่มทำแสบกับซาอุฯ ต้องไม่ลืมว่าคนไทยเจอพวกแขกซาอุฯ แสบ เมื่อต้องไปขายแรงงานและบริการที่นั่น ต้องเผชิญทุกข์สารพัด

นอกจากการถูกเอารัดเอาเปรียบแล้ว พวกแม่บ้านหลายคนต้องเป็นเหยื่อกามจากการถูกข่มขืนโดยพวกซาอุฯ หื่น และไม่มีปัญญาสู้คดีได้

ในซาอุฯ นั้นผู้ชายเป็นใหญ่ หญิงซาอุฯ เองไร้สิทธิ์ ถูกกดขี่สารพัด เป็นประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน โดยอ้างธรรมเนียมประเพณี หลักปฏิบัติ กฎหมายเช่นการตัดมือ เฆี่ยนด้วยหวาย ใช้ก้อนหินทุบ หรือตัดหัวประจานกลางเมือง ดังที่เจ้าหญิงซาอุฯ เคยโดนมาแล้ว เป็นที่จดจำกันดี

คนไทยทั่วไป ไม่มีใครอยากไปซาอุฯ ยิ่งนักเที่ยวด้วยแล้ว หมดโอกาสหาความสำราญจากการดื่มกินและกิจกรรมซึ่งนักท่องเที่ยวแสวงหา

ถ้าคนงานไทยไม่ได้ไปหากินซาอุฯ ก็ไม่อดตาย รายได้ที่นั่นก็ใช่ว่าจะคุ้ม หลังจากมีชาติอื่นๆ ยากจนกว่าเข้าไปรับค่าจ้างถูกกว่า หรือถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวซาอุฯ มาไทย บ้านเมืองเราก็ใช่ว่าจะสิ้นไร้ไม้ตอก

การแทรกแซง ทำตัวกร่างโดยอุปทูตซาอุฯ จะทำไม่ได้ ถ้าไม่มีนักการเมืองชั่วร้าย จากพรรคชั่วร้ายเข้าไปเสี้ยมสอน ยุยง เพื่อหวังผลการเมืองไม่คำนึงถึงความรักชาติ มีสันดานเป็นขี้ข้า เสือหิว ทำเพื่อเงิน เนรคุณแผ่นดิน

เราถึงมีพรรคเพื่อคนหนีคุก พรรคเพื่อเขมร พรรคเพื่อรัสเซีย และพรรคเพื่อซาอุฯ ทำตัวเป็นมารแผ่นดิน เพราะหวังชิงแต้มต่อทางการเมือง รับบทผีโม่แป้งให้เครือข่ายนักการเมืองกังฉินกินเมืองหนีคุกอยู่ต่างประเทศ

เป็นเครือข่ายพวกก่อการร้าย เผาบ้าน เผาเมือง ปล้นศูนย์การค้า มีเป้าหมายหลักคือล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า ขบวนการชั่วร้ายมีทั้งทหารเกษียณ ข้าราชการ พ่อค้า นักการเมือง พวกนักปลุกระดมมวลชน “สู้เพื่อรวย”

จากนี้ไปต้องรอว่าซาอุฯ จะมีลูกเล่นอะไรอีก คงจะเอานิสัยได้คืบเอาศอกเหมือนพวกพรรคเพื่อคนหนีคุกและขบวนการแดงมาใช้มั้งนิ! อิอิอิ!!

ที่มา

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ให้คุณเลือกนายกฯคนต่อไป...มิ่งขวัญหรือเสธฯหนั่น?



แม้ทั้งสองท่านจะปฏิเสธเสียงแข็งและแรงว่าไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย แต่ไฉนแวดวงการเมืองจึงวิพากษ์กันเกรียวกราวว่าอย่างน้อยมีคนบางกลุ่มพยายามออกข่าวทำนองนี้?

คงเป็นเพราะ "กิจกรรม" ของทั้ง "เสธ. หนั่น" ที่เดินสายไปหาเสื้อแดงและเสื้อเหลือง (ณัฐวุฒิแล้วก็สนธิ) เพื่อสร้างความปรองดอง...และยังบอกว่าอาจจะบินไปหาทักษิณด้วย

และกระแสข่าวจากพรรคเพื่อไทยก็บอกว่ามีกลุ่ม ส.ส. ในพรรคที่กำลังลุ้นให้คุณมิ่งขวัญเสนอตัวเป็นนายกฯ เพราะพรรคขาดแคลนคนที่จะเสนอตัวตอประชาชนอย่างน่าปะทับใจได้

เสธฯหนั่นปฏิเสธข่าวเรื่องเป็นนายกฯ บอกว่า ไม่เคยคิด ไม่เคยหวังจะเป็นนายกฯ และยืนยันว่าดำเนินการครั้งนี้เป็นเรื่อง่วนตัว ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง

ใครปล่อยข่าวไม่รู้ว่ามีนายทุนจ่ายเงินเดือน ส.ส.เพื่อไทยบางคนเดือนละหนึ่งแสนเพื่อให้เชียร์คุณมิ่งขวัญ...คุณมิ่งขวัญบอกว่าที่ทำงานให้พรรคก็เพื่อจะช่วยพรรคเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่น

ให้คุณเลือกระหว่างคุณมิ่งขวัญกับเสธฯหนั่น, หากเป็นไปตามที่วงการเมืองบางส่วนคาดการณ์, คุณเลือกใคร?

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ดราม่าอีกแล้ว : เสียงก้อง-ดอกไม้-น้ำตาในเรือนจำ ณัฐวุฒิ นำแสดง..."พี่น้อง...อย่าร้องไห้ ผมใจเข้มแข็ง เราไม่ทิ้งกัน"...




เสียงก้อง-ดอกไม้-น้ำตาในเรือนจำ "ณัฐวุฒิ" ปราศรัยปลุกขวัญสาวกแดง "พี่น้อง...อย่าร้องไห้ ผมใจเข้มแข็ง เราไม่ทิ้งกัน"

ประชาชาติธุรกิจ

โลกภายนอกเรือนจำ เคลื่อนไป ข้างหน้ารวดเร็ว-ซับซ้อนเกินกว่า 7 แกนนำ นปช.จะรับรู้

อดีตแกนกลางการเคลื่อนไหว "แดง" ทั้งแผ่นดิน กลายเป็นแกนที่รอวันหมุนตาม

เมื่อ จู่ ๆ ชื่อ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เคยออกมาประกาศว่าจะเดินหน้า-ลงมือเจรจา เพื่อความปรองดอง บุกไปประชิดตัวถึงในตารางสี่เหลี่ยม

วรรค ทอง-วาระสำคัญ ที่คีย์แมนการเมือง สื่อสาร-ส่งข่าว อธิบายเบื้องหลัง-เบื้องหน้าของการเจรจาใน คุกแดง มีความหมายครอบคลุมทั้งเรื่องการอภัยโทษ-ปล่อยตัว และสิทธิของคนเสื้อแดง และ "รัฐบาลต้องพิจารณา"

72 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น...แคมเปญของคนเสื้อแดงถูกจัดขึ้นหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

คน เสื้อแดงประมาณ 500 คน มารวมตัวกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าประตู เรือนจำ พร้อมส่งเสียงตะโกนด่าทอ รัฐบาลและเสียงตะโกนให้กำลังใจแกนนำ ที่อยู่ในคุก บางครั้งเลยเถิดถึงขั้นดันแถวเข้ามาโยนดอกไม้ ทำเอาประตูรั้วเรือนจำสั่นไหว

เสียงขานชื่อ "นักโทษ" สลับกับเสียงปลุกปลอบขวัญผู้มาให้กำลังใจ

ทูตเสื้อแดง-ภรรยาของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทำหน้าที่เจรจากับสาวกเสื้อแดงข้างนอกก่อนเข้าเยี่ยมสามี

ด้วยข้อจำกัดของเรือนจำ จำนวนคนเข้าเยี่ยม-เห็นหน้า-เห็นตัวเป็น ๆ ของ "ณัฐวุฒิ" จึงเต็มจำนวน เต็มพิกัด เท่าที่ถูกกำหนด

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" เป็น 1 ในจำนวนจำกัด

จึง เห็นภาพ-เสียงที่ทุลักทุเลของบรรดาสาวก-แม่ยกโผเข้าหากันและกัน และส่งเสียงสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างพูดแทบฟัง ไม่ได้สรรพผ่านรูเล็ก ๆ บนแถบแผ่นโลหะ

คำแม่ยกมีทั้งข่าวสารสด ๆ ร้อน ๆ แจ้งจำนวนมวลชนที่ร่วมใจไปวางดอกไม้หน้าเรือนจำ

"ณัฐวุฒิ" และแกนนำทุกคนรูปร่างผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

"น้ำหนักลดลงไป 6 กิโล เพราะออกกำลังกายทุกวัน ชกมวยทุกวัน" ณัฐวุฒิอธิบายรูปกายที่เปลี่ยนไป ทำให้เหล่าสาวกตื้นตันน้ำตาคลอเบ้า

ณัฐวุฒิ-ปลอบคนเข้าเยี่ยมว่า "อย่าร้องไห้ สภาพจิตใจผมไม่มีปัญหา อยู่ในนี้จิตใจยังเข้มแข็งตลอดเวลา"

คน ข่าว-ถามทุกข์-สุข และเรื่องราวประเด็นข่าวนอกคุก ทั้งเรื่องแผนปรองดอง-แผนเพื่อไทย "ณัฐวุฒิ" ตอบได้แต่เพียงว่า "ไม่รู้เรื่องมากนัก" พร้อมออกตัวว่า "ไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะเกรงว่าจะทำให้ทางเรือนจำเดือดร้อน"

"เวลามีคนมาเยี่ยม มาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้รับฟัง และให้กำลังใจ...ฝากความคิดไปบ้างเท่าที่จะทำได้ พยายามบอกพี่น้องให้เข้มแข็ง ยืนหยัดหลักการ สันติวิธีให้เกิดประชาธิปไตย"

ส่วนข้อถกเถียงในโลกภายนอกคุกที่ว่า นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กับพรรคเพื่อไทย ใครจะนำใครกันแน่ ?

"ณัฐวุฒิ" บอกว่า "ประชาธิปไตยนำ ทั้ง 2 องค์กรนี้ไปด้วยกัน ทั้งเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครเดินตามใคร แต่ทั้ง 2 ส่วนเดินตามหลักการประชาธิปไตย และสังคมไทยก็ควรจะได้เดินไปในแนวทางนี้เช่นกัน"

ส่วนคำถามถึงแผน ปรองดองและ ความหวังที่จะได้ประกันตัว "ณัฐวุฒิ" ปฏิเสธว่าไม่ทราบรายละเอียด รวมทั้งยังไม่ทราบว่าจะได้รับการประกันตัวหรือเกือบได้ประกันตัวจากแผน ปรองดอง นอกคุกหรือไม่

นักข่าวชวนสนทนาประเด็นร้อนว่า การนอนคุกของเขาสะท้อนผลแพ้หรือชนะ ของม็อบแดง เขาตอบว่า "เราไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดผลแพ้หรือชนะ แต่ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ความแพ้หรือชนะ ของใคร"

เขาอธิบายสถานการณ์ส่วนตัวของเขา และผลที่เกิดกับแกนนำทั้ง 7 คนที่ยังยืน อยู่ในคุกว่า "เป็นเพราะประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย"

คำถามเชิงปรารภ ชวนปะทะทางความคิด ที่ว่า "ณัฐวุฒิ" อยู่จุดไหนของกระบวนการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายของคนเสื้อแดง เขาตอบแต่เพียงว่า

"ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตย และจะเป็นคนหนึ่งในกระบวนการนี้จน สุดทาง..."

แม้ การไร้อิสรภาพยาวนานกว่า 100 วัน โดยไม่รู้อนาคตว่าจะได้รับการปล่อยตัว เมื่อไร และมีกระบวนการอย่างไร เพื่อให้พ้นคุก แต่แกนนำ "นปช.-ณัฐวุฒิ" ไม่เคยหมดพลัง-หมดกำลังใจ

"สิ่งที่จะลดลงไปก็คือ วัน เวลาที่จะได้ทำภารกิจร่วมกับข้างนอก แต่ขวัญและกำลังใจของพวกเราไม่ลด เราต้อง เข้มแข็งเพื่อพี่น้องทุกคน แกนนำข้างใน คุกดูแลกันและกัน ความเข้มแข็งของเราจะเป็นกำลังใจให้คนข้างนอกตลอด เวลา"

ยามว่างเว้นจากห้วงคำนึงถึงครอบครัว "ณัฐวุฒิ" ลงมือใช้ความรู้-ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในฐานะ "นักกลอน" แต่งเพลงเพื่ออนาคต

"วันนี้ ผมตั้งใจจะเขียนเพลงเพื่อบันทึกความรู้สึกในวันนี้ วันที่พี่น้องเสื้อแดงเอาดอกไม้มามอบให้ ผมหวังว่าดอกไม้ที่เอามาวันนี้จะได้ส่งความรู้สึกผูกพันของคนเสื้อแดงไปถึง ทุกชีวิตที่จากไป"

"ถ้าวันนี้พี่น้องเสื้อแดงทำกิจกรรม มอบดอกไม้ให้ผมและแกนนำข้างใน เรือนจำ... ผมก็ขอเป็นตัวแทนจาก คนเสื้อแดงในเรือนจำ...ส่งมอบต่อไปให้ แก่ผู้เสียชีวิต รวมทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บทุกคนพร้อมครอบครัว ผมอยากบอกว่า ผมรักพวกเขา เราไม่ทิ้งกัน..."

เสียงผู้คุมประกาศ "หมดเวลาเยี่ยม" ทั้งแกนนำ-สาวก-แม่ยก และภรรยาคู่ชีวิตของ "ณัฐวุฒิ" และภรรยา 7 แกนนำ นปช.ต่างทยอยกลับ

ภาพหน้าคุกมีการนำดอกกุหลาบสีแดง พร้อมกระดาษข้อความ จดหมาย เสียบไว้ตลอดแนวรั้วคุก

72 ชั่วโมงก่อนถึงวันครบรอบ 4 ปี 19 กันยา วาระ 4 เดือน จากราชประสงค์ มีทั้งดอกไม้และน้ำตา


***********************************************

ความเห็น

ณัฐวุฒิ เลือกที่จะใช้ความรู้และความสามารถ รับใช้ทักษิณ นั่นคือสิ่งที่เขาเลือกแล้ว คำพูดที่ว่า"อาจารย์เคยเห็นเงินร้อยล้านมั๊ย"เสมือนเป็นคำตอบแทนการกระทำของณัฐวุฒิ

ณัฐวุฒิ เป็นคนใต้ที่คนใต้ด้วยกันชิงชังเป็นอย่างยิ่ง แค่คนเหนือ และ คนอีสาน ที่ผูกพันกับทักษิณ ชินวัตร ถือว่าณัฐวุฒิเป็นฑูตพิเศษของนายใหญ่ที่รับโองการมา เพื่อปัดเป่าความเดือดร้อนให้พวกเขา คำปราศัยที่ว่า"พี่น้อง เผาเลย ผมรับผิดชอบเอง" ซึ่งม็อบแดงก็ได้ทำตามไปแล้ว

ณัฐวุฒิเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน แต่บังอาจใช้คำพูดสาดใส่ ให้ร้าย พลเอกเปรม ที่สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศมามากมาย ด่าทอองคมนตรีที่ได้รับการโปรดเกล้า อย่างไม่เกรงกลัวความผิดใดๆ กับคำปราศัยที่ว่า"คนเสื้อแดงจะบอกดินบอกฟ้าว่าคนอย่างข้าก็มีหัวใจ คนเสื้อแดงจะบอกดินบอกฟ้าว่าข้าก็คือคนไทย คนเสื้อแดงจะถามดินถามฟ้าว่า ข้าไม่มีที่ยืนที่สมคุณค่าจะถามดินถามฟ้าว่าจะให้ข้าหาที่ยืนเองหรืออย่างไร" ณัฐวุฒิต้องการอะไร สื่อไปยังใคร คำพูดนี้มาจากสามัญสำนึกของณัฐวุฒิ หรือเพียงการประดิษฐขึ้นมาเพื่อประชดประชัน

ประชาธิปไตย ในความหมายของณัฐวุฒิคืออะไร 2 ปี ที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างไร ความหมายจากคำพูดณัฐวุฒิ คืออะไรหรือ ประชาธิปไตยโดยการจูงใจใช้จ้างวาน ประชาธิปไตยที่ทำเพื่อคนๆ เดียว นี่คือสิ่งที่ต้องการใช่มั๊ย คนอย่างณัฐวุฒิ ใช่ว่าจะเป็นที่รักของครอบครัว มวลชนเสื่อแดง แต่ความเกลียดของคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามก็มี ณัฐวุฒิจะทำให้ความรักและความเกลียด ผสมผสานได้อย่างลงตัวได้อย่างไร ในเมื่อคุณยังทำเพื่อตนเอง ทิ้งศักดฺ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ไปรับใช้นายทุน ที่ต้องการทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปตามต้องการของตน คุณไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์แก่ชนชาวเสื้อแดงที่คุณนำมาเพื่อเป็นโล่ห์กำบังให้แก่คุณและพวกพ้องเลย


ทนายเบิ้ม ณ สัมมากร

ที่มา http://www.oknation.net/blog/hardcorelawyer/2010/09/23/entry-1

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ฮือฮาคลิปนายพลตร.เล่นจ้ำจี้กับตร.หญิงหน้าห้อง


คมชัดลึก :ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 กันยายน มีรายงานว่า มีผู้อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดแห่งหนึ่ง ส่งจดหมายร้องเรียนถึงพฤติกรรมของนายพลตำรวจตรีคนหนึ่ง ถึงผู้บังคับบัญชาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมแนบแผ่นซีดีบันทึกภาพมาเป็นหลักฐาน

จากการตรวจสอบภาพจากคลิปมีลักษณะคล้ายภาพจากกล้องวงจรปิด เป็นนายตำรวจยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้บังคับการจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ เรียกตำรวจชั้นประทวนหญิงหน้าห้องเข้ามาในห้องทำงาน ภาพปรากฏนายตำรวจคนดังกล่าวสวมเครื่องแบบสีกากี กำลังกอดรัดกับตำรวจหญิงในเครื่องแบบคนหนึ่งภายในห้องทำงานในเชิงชู้สาว ก่อนพากันหายเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัว

หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม ล่าสุดมีรายงานว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และหากมีมูลความจริงก็อาจพิจารณาสั่งสำรองราชการนายพลคนดังกล่าว

ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20100922/73973/%E0%B8%AE%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87.html



วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

๑๙ กันยา ปฎิวัติเสียของ !?


การปฎิวัติ รัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ โดยคณะทหารที่ใช้ชื่อว่า "คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" (คปค.) นำโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ผ่านมาแล้ว ๔ ปี ด้วยเหตุผลสำคัญในการขจัดข้อขัดแย้งของผู้คนในสังคม กระนั้น สังคมไทยก็ยังตกอยู่ในหล่มโคลนแห่งความขัดแย้งไม่สิ้นสุด

ซ้ำร้ายดูจะหนักหน่วงและส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น คล้ายการรัฐประหารครั้งสุดท้ายนั้นเพียงโยนหินลงไปในคูที่มีจอกแหนหนาแน่น แหนกระจายตัวออก แต่ไม่นานจากนั้น แผ่นแหนหนาทึบก็กลับมาครอบครองคูน้ำเหมือนเดิม

คณะรัฐประหาร ให้เหตุผลสำคัญในการยึดอำนาจ ผ่านประกาศฉบับแรกว่า

"การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงาน องค์กรอิสระ ถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"

ในขณะเดียวกัน คณะรัฐประหารได้ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศเสียเอง แต่จะได้คืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด คณะรัฐประหารหลังส่งมอบอำนาจให้รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ถอยออกไปจากการเมือง แต่ขยะความขัดแย้งในสังคมยังไม่หมดไป

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร ที่พรรคพลังประชาชน อันถือว่ายังเป็นเสมือนตัวแทนอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงโค่นล้มระบอบทักษิณ จนกระทั่งทหารลากรถถัง รถฮัมวี่ รถยีเอ็มซี มายึดอำนาจรัฐ ต้องกลับมามีบทบาทนำผู้คนจำนวนมากเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลรักษาการ ที่พวกเขาเชื่อว่ายังเป็นตัวแทนอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้ง สะท้อนบทเรียนสำคัญประการหนึ่งว่า การใช้กลไกการรัฐประหารเข้ามาจัดการจัดระเบียบสังคมไทยนั้น นับเป็นความล้าหลัง พ้นสมัยไปแล้วสำหรับประเทศไทย และนำมาสู่ตรรกะที่ทุกฝ่ายน่าจะยอมรับและเข้าใจได้ นั่นคือปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง

ปรากฎการณ์การระดมพลมากดดันรัฐบาลของคนสื้อแดง จนนำมาสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนจำนวนมาก ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่บอกความล้มเหลวของการปฎิวัติ

แน่นอน อย่างน้อย ๒ ปีแห่งการรัฐประหาร ก็ไม่ได้สูญเปล่าไปเสียทีเดียว เรารู้ว่าการรัฐประหารมิใช่คำตอบสุดท้ายของสังคมไทยอีก เรารู้ว่าการเคลื่อนไหวกดดันผู้กุมอำนาจรัฐโดยกลุ่มคนที่เรียกว่า การเมืองภาคประชาชนโดยที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ เข้าใจ หรือมีฉันทามติ ให้ไปดำเนินการนั้น รังก็แต่จะตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคมไทยให้ร้าวลึกขึ้นอีก

เมื่อต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ต่างก็ไม่เปิดใจยอมรับให้กัน และต่างก็ตั้งเวทีปราศรัยด่าทอกัน จนสุดท้าย กลุ่มต่อต้านประกาศท่าทีว่า จะไปรวมตัวชุมนุมกันหน้าบ้านพักแกนนำพันธมิตรฯ

ความรุนแรงขนาดใหญ่ โศกนาฎกรรมกลางเมืองที่ต้องหลั่งเลือดผู้คนจำนวนมาก อันเป็นรายจ่ายของความขัดแย้งที่ผ่านมา ยังไม่ถึงบทสุดท้าย

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

เขมร ขู่ใช้กำลัง ถ้าไทยซ่อมปราสาท "ตาเมือนธม"


กัมพูชา อ้างสิทธิเป็นเจ้าของปราสาท "ตาเมือนธม" ขู่ไทยไม่ให้เข้าบูรณะซ่อมแซม พร้อมสร้างถนนเข้าสู่ปราสาทและส่งทหาร เขมรตั้งฐานปฏิบัติการส่วนหน้าห่างจากปราสาทตาเมือนธมแค่ 100 เมตร พร้อมทั้งรุกคืบสร้างถนนลูกรังสู่ปราสาท "ตาควาย"

เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟรายงานข่าวระบุว่า วิทยุเอเชียเสรีรายงานข่าวว่าผู้บัญชาการระดับสูงที่ประจำการชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธมถูก ไทยบีบใช้กำลังทหารถ้าประเทศไทยส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าซ่อมแซมปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาดงรักในแผ่นดินกัมพูชา จังหวัดอุดรมีชัย (Oddar Meanchey)

พลเอก เจีย ดารา (Chea Tara) รองผู้บัญชาการทหารสุงสุด ผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่เขตแดนเขมร-ไทย ระบุว่าคนไทยไม่สามารถเข้ามายัง แผ่นดินกัมพูชาเพื่อซ่อมปราสาทตาเมือนธมซึ่งตั้งอยู่ภายใต้บูรณภาพเหนือดินแดนของกัมพูชาได้ โดยกล่าวว่า “ประเทศไทยไม่มีสิทธิ จะมาซ่อมแซมปราสาทใดๆ ของกัมพูชา การจะดำเนินการดังกล่าวของไทยนับเป็นการรุกล้ำดินแดน และการรุกล้ำใดๆ จะต้องเผชิญ กับการตอบโต้ป้องกันอย่างฉับพลันและทรงประสิทธิภาพ”

ผู้บัญชาการของกัมพูชาออกคำเตือนภายหลังหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงาน เมื่อวันพฤหัสที่ 16 กันยายน ว่ากรมศิลปากรของไทย ได้เตรียมที่จะซ่อมแซมปราสาทตาเมือนธม

นายวร์ คิม ฮอง (Var Kimhong) ประธานคณะกรรมการชายแดนกัมพูชา (Cambodian Border Commission) กล่าววันนี้ว่ากัมพูชาจะไม่ มีทางยินยอมให้ไทยเข้าทำการซ่อมปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากภายใต้สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และ แผนที่ ค.ศ. 1908 ปราสาทตั้งอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และด้วยเหตุนี้จึงเป็นปราสาทของกัมพูชา เขาระบุว่าได้แจ้งแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศของไทยระหว่างที่ เขามาเยือนไทยเมื่อ ปี พ.ศ. 2544 ว่าไทยไม่สามารถแตะต้องปราสาทตาเมือนธมได้ และได้เตือนว่า กัมพูชาจะใช้มาตรการทางกฎหมายหากไทยจะเริ่มทำการซ่อมแซมปราสาท โดยเขากล่าวว่า “ไม่ เราไม่มีทางอนุญาตพวกเขา ปราสาท ตาเมือนธมเป็นปราสาทเขมร ตั้งอยู่ใกล้หลักเขตที่ 23 มากๆ ฝรั่งเศสได้วางหลักเขตทางเหนือของสันปันน้ำ และสำหรับปราสาทตาเมือ นโต๊ด (Ta Moan Toch ) และตาเมือน (Ta Moan) หลักเขตถูกวางไว้ทางใต้ของสันปันน้ำ ตำแหน่งของปราสาทถูกวาดไว้อย่างชัดเจน ในแผนที่ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างมีสำเนา”

นายวาร์ คิม ฮอง กล่าวว่า เมื่อปี 2544 กรมศิลปากรของไทยได้เดินทางไปทำการซ่อมแซมปราสาทตาเมือนธมแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อตน เดินทางไปยังปราสาท ตนได้บอกให้หยุดดำเนินการเนื่องจากปราสาทตาเมือนธมเป็นของกัมพูชา

เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา กองกำลังทหารชายแดนที่ 402 นำโดย พ.อ.เนี๊ยะ วงศ์ ผู้บังคับการทหารชายแดนที่ 402 กัมพูชา ได้สั่งการให้ทหารกัมพูชาใต้บังคับบัญชากว่า 50 นาย พร้อมอาวุธสงคราม เอเค 47, จรวดอาร์พีจี, ปืนกลเบาและปืนพกสั้น มุ่งหน้าเข้ามายังบันไดทางขึ้นปราสาทตาเมือนธม เพื่อหวังเข้าวางกำลังทหารอยู่ภายในบริเวณปราสาทตาเมือนธม เขตแดนไทย

แต่ได้ถูกกำลังทหารพรานไทย ฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม กองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 961 และชุดเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 เข้าทำการเจรจาและผลักดัน ให้กองกำลังทหารกัมพูชาติดอาวุธทั้งหมดกลับเข้าไปในเขตแดน กัมพูชา และห้ามพกอาวุธสงคราม พร้อมทั้งแต่งเครื่องแบบทหารเข้ามายังเขตแดนไทย และปราสาทตาเมือนธม ตามข้อตกลงที่ทั้งผู้ บังคับบัญชาทหารระดับสูง 2 ฝ่ายได้เจรจากันไว้ และ หากยังดื้อจะนำกำลังพร้อมอาวุธสงครามข้ามเข้าในดินแดนไทย ทหารพรานกอง ร้อยจู่โจมที่ 961 จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยไทย ยิงผู้รุกรานทันที

เมื่อสถานการณ์ตรึงเครียดขึ้น ชุดเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 ได้รายงานเหตุการณ์ ที่เกิดให้ พ.อ.กิตติศักดิ์ บุญพระธรรม ผู้บังคับ การกรมทหารพรานที่ 26 ได้รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งรายงานไปยังกองบัญชาการกองกำลังสุรนารี ซึ่งผู้บังคับบัญชา ทุกระดับได้สั่งการให้ตรึงพื้นที่อย่างเข้มงวด และห้ามทหารกัมพูชาพกพาอาวุธเข้าในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ การเจรจากันใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง พ.อ.เนี๊ยะ วงศ์ ได้สั่งการให้ทหารกัมพูชา ทั้งหมด เดินทางกลับเข้าไปยังฐานปฏิบัติการ ส่วนหน้า ในเขตกัมพูชา ซึ่งตั้งห่างจากทางขึ้นปราสาทตาเมือนธมเพียง 100 เมตร

หลังจากนั้นปรากฏว่าทหารกัมพูชา 2 นาย ได้แต่งชุดพลเรือน เข้ามาหาข่าวในบริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยมีผู้บังคับบัญชาโทรศัพท์ เข้ามาสอบถามสถานการณ์ ในบริเวณปราสาทตาเมือนธมอยู่เป็นระยะๆ

นายทหารสังกัดกรมทหารพรานที่ 26 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เหตุการณ์ความตรึงเครียดดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา เมื่อ กัมพูชาที่มาเข้าเวรอยู่บริเวณทางขึ้นปราสาทตาเมือนธม เห็นทหารพรานกองร้อยจู่โจมที่ 961 ของไทยถืออาวุธลาดตระเวนรอบ ปราสาทตาเมือนธม ก็ไปรายงานผู้บังคับบัญชาว่า ทหารไทยทำผิดข้อตกลง ในการนำอาวุธเข้ามายังบริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่ง ทหารพรานได้แจ้งให้ทราบว่าจำเป็นต้องมีการลาดตระเวน เพื่อป้องกันความปลอดภัยให้แก่คณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่มาศึกษาดู งานบริเวณปราสาทตาเมือนธม ในช่วงวันที่ 7-8 ก.ย. จึงจำเป็นต้องเข้มงวดในการเข้าชมปราสาทตาเมือนธม

แม้แต่คนไทยด้วยกันที่เดินทางมา เราก็ยังบอกว่าเข้าชมไม่ได้ เพราะต้องมีการรายงานข้อมูลด้านความมั่นคงและสถานการณ์ต่างๆ ให้ คณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบ จึงต้องปิดการเข้าชมชั่วคราว และทหารพรานได้แนะนำให้ชาวไทยไปเที่ยวชมปราสาทตาเมือนโต๊ด แทน

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดมาปะทุขึ้นครั้งอีกครั้ง เมื่อทหารกัมพูชา นำโดย พ.อ.เนี๊ยะ วงศ์ พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชากว่า 50 นาย พร้อม อาวุธสงครามครบมือ พยายามที่ข้ามชายแดนไทย เข้ามาเพื่อวางกำลังทหารที่ปราสาทตาเมือนธมดังกล่าว

“เรา ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และสั่งการให้ตรึงกำลังอย่างเต็มที่ หากทหารกัมพูชาไม่เชื่อฟังก้าวข้ามเข้าในเขต แดนไทย พร้อมอาวุธสงครามเมื่อใด สั่งยิงได้ทันที” แหล่งข่าวนายทหารไทยกล่าว

พร้อมกันนี้ ทหารพรานไทยยังบอกทหารกัมพูชาไปว่า เมื่อทหารกัมพูชาพยายามเข้ามาก่อเรื่อง หากมีการยิงกันเกิดขึ้น ทหารไทยถล่ม ยาวแน่ เรายอมไม่ได้ ขอให้ทหารกัมพูชาไปหาคนมาสั่งหยุดยิงก็แล้วกัน จึงทำให้ พ.อ.เนี๊ยะ วงศ์ นำกำลังทหารทั้งหมดกลับฐานที่ตั้ง ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมเพียง 100 เมตร

แหล่งข่าวนายทหารคนเดิมกล่าวว่า ขณะที่ทหารพรานของไทยสั่งเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างเต็มที่ เนื่องจากเกรงว่าทหาร กัมพูชาจะมีการเสริมกำลังทหารเข้ายึดปราสาทตาเมือนธม ทั้งนี้ เพราะขณะนี้ทหารกัมพูชาได้ก่อสร้างถนนลูกรังจากฝั่งกัมพูชาขึ้นมา ใกล้กับ ปราสาทตาเมือนธม มีระยะห่างเพียง 200 เมตร พร้อมวางกำลังทหารกว่า 100 นาย ตรึงพื้นที่ใกล้ชายแดนไทยบริเวณปราสาท ตาเมือนธมอยู่ตลอดเวลา

นอกจากกรณีปราสาทตามเมือนธมแล้ว เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ ได้รายงานว่า กัมพูชายังได้สร้างถนนสู่ปราสาทตาควายเสร็จแล้ว โดยระบุ ว่าสำนักข่าวข่าวด่วนกัมพูชารายงานว่าการก่อสร้างถนนความยาว 7.3 กิโลเมตรสู่ปราสาทตาควาย (ตากระบรัย – Ta Krabey) ในอำเภอ บ้านใต้มะขาม (บันเตียอัมปึล – Banteay Ampil) จังหวัดอุดรมีชัย (โอดดา เมียนจัย – Oddar Meanchey) ได้แล้วเสร็จหลังเริ่มต้นก่อสร้าง เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา

พลตรีแคง สุเมธ (Kheng Somedh) ผู้บัญชาการกองพลทหารช่างกัมพูชา ระบุว่าถนนความยาว 7.3 กิโลเมตรได้ก่อสร้างโดยการไถ เกรดด้วยรถแทร็คอเตอร์ ถมด้วยดินลูกรัง ใช้เวลาตัดถนนทั้งสิ้น 15 วัน และ จะขยายให้กว้างขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาพื้นที่เขตแดนเพื่อเปลี่ยนชายแดนเป็นพื้นที่แห่งสันติ

ข่าวยังรายงานอีกว่า ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ถนนความยาว 9 กิโลเมตรสู่ปราสาทตาเมือนมูลค่า 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ก่อสร้างเสร็จและเปิดใช้งานแล้ว

วันเดียวกันหนังสือพิมพ์กัมปูเจียทะไมย์ หรือ "กัมพูชาใหม่" รายงานความคืบหน้าการฝึกซ้อมลาดตระเวณแนวชายแดนว่า กองพันที่ 513 ซึ่งเป็นหน่วยแซกแทรง และตอบโต้ได้เปิดการฝึกเป็นเวลา 8 วัน ใกล้เมืองปอยเปต ระหว่างวันที่ 8 – 15 กันยายน 2553

พันเอกโสก ตินา (Sok Tina) ผู้บัญชาการกองพันที่ 513 ระบุว่าการฝึกแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นแรกเป็นการวางแผนจู่โจม ขั้นที่สองเป็น การปฏิบัติการจริง และขั้นที่สามเป็นขั้นการเตรียมความพร้อมหลังปะทะเพื่อรับคำสั่งถัดไป ขณะที่ พลจัตวา จัน โสภณ (Chan Sophon) รองผู้บัญชาการกองทัพภาค 5 ได้แสดงความขอบคุณต่อกองพันที่ 513 และทหารจากหน่วยอื่นที่ได้ร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งในการ ป้องกันชาติภายใต้การนำที่ยิ่งใหญ่ของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน.

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ป๋าเปลว สีเงินเป็นพ่อยกอภิสิทธิ์สุดลิ่ม ใครจะมาเป็นหางเครื่องเชิญครับ..เป็นกำลังใจนายก วัน ดับทักษิณ ๑๙ กันยา

วัน "ดับทักษิณ" ๑๙ กันยา
เปลว สีเงิน

นายกฯ ท่านบอก "ไม่กลัว" ชุดดำ "ลอบสังหาร" จะหมายความว่ากลัว "ชุดแดง" มากกว่าหรือยังไงก็ไม่ทราบ เห็นคนอื่นเป็นนายกฯ แล้วผมอิจฉา อยากเป็นบ้าง แต่เป็นไม่ได้ และไม่ได้เป็น แต่พอเห็นคุณอภิสิทธื์เป็น ผมกลับอิจฉาตัวเอง เพราะนับแต่วันแรกที่คุณอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกฯ ไม่มีซักวันที่จะไม่ถูกมารตามผจญ แถมแต่ละวันแทบต้อง "กิน-ถ่าย-นอน" ในรถ ไหนจะงานประจำ แล้วยังไหนจะงานจรนอกสถานที่อย่างน้อยอีกวันละ ๕-๖ งาน

เป็นนายกฯ น่ะ...ไม่ยาก!

แต่เกิดเป็น "นายกฯ อภิสิทธิ์" นี่ซี ดูมันรากเลือดแสนสาหัสเสียจริงๆ โชคดีที่ท่านเกิดราศี "คนชนคน" ฉะนั้น...หนุ่มอีตันบ่เคยยั่น ใครข้องใจ จะแบบเรียงหน้าฟัด หรือแบบลอบฟัด...เชิญ ท่านปักส้นเท้าสู้สิบทิศ แค่เบี่ยงนิด-เบี่ยงหน่อย แต่เรื่องถอย...

ไม่มีในพจนานุกรมมาร์ค!

ก็เพราะความที่ "เกิดมาเพื่อเป็นนายกฯ" นี่แหละ จึงมีคุณสมบัติพิเศษฝังอยู่ในตัว ดูเหมือนว่า ในความเกลียด-ความอิจฉาของศัตรู แต่ลึกๆ ลงไปในจิตวิญญาณของนักสู้แบบสุภาพบุรุษด้วยกันแล้ว ศัตรูหลายคน ทั้งสามัญและวิสามัญ กระทั่งในฝ่ายค้าน ก็มิอาจที่จะไม่ยอมรับนับถือน้ำใจ และให้เครดิตกันอยู่ในเชิง

ถูกต้องแล้ว ผมหมายถึง "สมควรอย่างยิ่ง" ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องได้รับความอิจฉา-ริษยา ความเกลียดแค้น-ชิงชัง การอาฆาตมาดร้าย การขัดขวางทุกเส้นทางงาน กระทั่งการมุ่งหมายเอาตาย-เอาเป็นเพราะคุณอภิสิทธิ์ "มีดีกว่า" นี่แหละ เขาจึงอิจฉา และดีนั้นจะจริงสมฐานะ "ผู้นำประเทศ" หรือไม่ มันก็ต้องให้เขา "ลองดี" ในช่วงทดสอบ "สู่ความยิ่งใหญ่" เป็นธรรมดา!

ซึ่งมันก็สมควร "ทองแท้ไม่กลัวไฟ" มิใช่หรือ จะว่าไปแล้ว ถนนสู่เก้าอี้นายกฯ ของคุณอภิสิทธิ์ค่อนข้างจะราบเรียบ และเป็นไปตามสเต็ปที่วางไว้ ในขณะที่นายกฯ แต่ละคนกว่าจะมาถึงจุดนี้ "หน้าเยิน-ร่างยับ" ด้วยกรำเขี้ยวงาจากการต่อสู้ ๖๐ ไปแล้ว หรือเฉียด ๖๐ โน่นแหละ ก้นถึงจะมีโอกาสได้สัมผัสเก้าอี้

เรียกว่ากว่าจะบ่มบารมีให้เป็นที่ยอมรับทั้งคนในรัฐสภาและนอกรัฐสภา

หมารอบๆ สภา "แก่ตาย" ไปหลายรุ่น!

ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับประเภท "นายกฯ แก้บน" อย่างพลเอกสุรยุทธ์ ซึ่งมานอกระบบ หรืออย่างท่านนายกฯ สมชาย แต่ว่าไปแล้ว ท่านก็ "มีดี" ที่ทำให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่คนละประเภทกับนายกฯ อภิสิทธิ์และคนอื่นๆ เท่านั้น

ของคนอื่นเขา ด้วยหมัด และแข้ง แต่ของพลเอกสุรยุทธ์ ด้วยรถถังอุ้มสม ของคุณสมชาย ด้วยเจ๊แดง-ภริยาท่าน ซึ่งเป็นน้องสาวทักษิณอุ้มสม

แต่แบบนายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นด้วยระบบ และสิ่งที่เรียกว่า...บอร์นทูบี นั่นแหละ!

แต่การที่ "ได้เป็น" ตั้งแต่อายุ ๔๐ ต้นๆ สิ่งที่ได้เป็นคือ "ตำแหน่งนายกฯ" จึงเป็นท่ามกลางความไม่ยินยอมพร้อมใจรับของทั้งคนในเวทีการเมืองและนอกเวที เหมือนนักมวยต่อย ๒-๓ ครั้งได้เป็นแชมป์โลก หน้านวลเช้ง ไร้ร่องรอยตีนกา-ตีนกู-ตีนคุณ หางคิ้วไม่ปูดโปนด้วยแผลเป็นจากการต่อสู้ปรากฏเป็นประกาศนียบัตร คนจึงไม่แน่ใจว่าได้แชมป์มาเพราะ

ฝีมือ หรือฟลุก!?

ก็ต้องเข้าใจ เกิดมาเพื่อเป็นนายกฯ ก็อาจได้เป็นนายกฯ ซักตั้ง-ครึ่งตั้ง แต่การจะดำรงคงทนอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ซัก ๒-๓ เทอมนั้น มันต้องสร้างเองผสมด้วย

สร้างอะไร?

สร้างบารมีให้ทั้งนักการเมืองด้วยกัน และทั้งประชาชนส่วนใหญ่ "ยอมรับ" ในฝีมือน่ะซี!

ฉะนั้น การเป็นนายกฯ ของคุณอภิสิทธิ์ในช่วง "วิกฤติบ้านเมือง" จึงเป็นโอกาสในวิกฤติของคุณอภิสิทธิ์ ที่ทั้งเหตุการณ์ สถานการณ์ สารพัดปัญหา ทั้งในท้องถนน ทั้งในรัฐสภา และทั้งประชาคมโลก ที่ประดังประเดเข้ามาได้ทดสอบ ได้หลอม ได้ลงตะไบ "อภิสิทธิ์-นายกฯ ชั่วคราว" ว่า

มีคุณสมบัติพร้อม และผ่านด่านสู่ความเป็น "นายกฯ ถาวร" ได้หรือไม่?

เปิดไฟแดง รุมตีกลางถนนที่พัทยา ก็ผ่านมาแล้ว

ปิดกระทรวงมหาดไทย รุมตีคารถ ก็ผ่านมาแล้ว

พังโรงแรมไล่ฆ่าคางานผู้นำอาเซียน ก็ผ่านมาแล้ว

ยึดราชประสงค์ "เผาเมือง" สาดเลือดทำเนียบฯ ก็ผ่านมาแล้ว

เรียกว่าทั้งเฉียดตาย ทั้งผงาดในเวทีไทย-เวทีโลก ช่วงระยะ ๒ ปีในตำแหน่งหน้าที่นายกฯ คุณอภิสิทธิ์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า "เกิดมาเพื่อนำประเทศ" แท้จริง

โดยเฉพาะ "นำประเทศ" ในภาวะวิกฤติศรัทธา-วิกฤติปัญหา-วิกฤติสถาบัน!

เหล่านั้น เปรียบก็เหมือน "สนิมกรุ" จากการปลุกเสกแต่ละครั้ง และแต่ละครั้ง "หนักๆ ทั้งนั้น" เดิมพันด้วยชีวิต แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ท่านสู้ยิบตา ไม่ใช้สู้คน แต่สู้ปัญหา สู้แบบ เอ็งมาด้วยวิธีมืด แต่ข้าแก้ด้วยวิธีสว่าง ค่อยๆ สะสางด้วยความอดทน ทรหด บึกบึน ดวงตาไม่เคยขาดแวว และที่สำคัญ "ใจ" นั้น เกินร้อยจริงๆ

จากพระใหม่ แบกระจาดขายคนก็ไม่ซื้อ ถึงตอนนี้นายกฯ อภิสิทธิ์เริ่มขลังระดับ "พระกรุ" มีราคาเรียกหาในท้องตลาด ขนาด "สนิมเขียว" ยังไม่จับยังขนาดนี้ ผ่านตุลา ผ่านสิ้นปี เข้าสู่ฤดูกาล "เลือกตั้งใหญ่" สงสัยราคาจะถึงระดับ "เบญจภาคี" นั่นเชียว!

อภิสิทธิ์มีราคาเพราะ "มาร" จริงๆ สมอย่างที่พระท่านว่า "มารไม่มี บารมีไม่เกิด" แล้วนี่...ก็เข้าสู่เทศกาล "มารมาเพิ่มบารมี" ให้อีกรอบแล้ว ๑๙ กันยา เพื่อนผองน้องพี่เสื้อแดงจะทำพิธีรำลึกถึง "ทักษิณ-วันที่แผ่นดินไม่ต้องการ"

เห็นใจเขาเถอะ มันเป็นช่องทางทางรายได้อย่างหนึ่ง อะไรที่พออะลุ้มอล่วยกันได้ ทาง ศอฉ.ก็อย่าขึงกฎหมายเอากับพี่น้องเสื้อแดงเขาให้หนักนัก

ผีตาย ๔ ปี มันยังพอมีเงินปากผีให้แคะ ถ้าเขาชุมนุมกันเป็นที่เป็นทาง ไม่ปิดถนน ไม่เผายาง ไม่ตั้งบังเกอร์ ไม่โรดโชว์ทั่วบ้าน-ทั่วเมือง ไม่บึ้ม เอ็ม ๗๙ และไม่ "ตกใจ" เผาเลย แล้วบุกห้างกวาดนาฬิกา แว่นตา กระเป๋า อย่างคราวที่แล้วล่ะก็

เอ็นดูเขาเถอะ "สำหรับชาวบ้าน"

ส่วนพวกตัวการ เป็นหน้าที่ท่านควรวินิจฉัย เพราะติดตามดูความเคลื่อนไหวทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาโดยตลอดแล้วมิใช่หรือ?

พูดถึงความเคลื่อนไหว คนที่อยู่ละแวกอาคาร OAI ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เขาบอกมาว่า ระยะนี้มีความเคลื่อนไหว "ผิดสังเกต" ผมถามเขาว่าผิดยังไง เขาก็บอกว่า...ผิดตรงที่ไม่เคลื่อนไหวเหมือนตามปกติที่ผ่านมา

ตามปกติตั้งแต่สมัย "พลังประชาชน" ตั้งอยู่ที่นี่ จนย้ายไป แล้วย้ายกลับมาอยู่ใหม่เป็นเพื่อไทยใหม่ๆ จะเห็นคนเข้า-ออกทั้งวัน รวมทั้งนักข่าวที่มาเฝ้าข่าว ท่านจตุพรมักจะปรากฏกายออกไปโจ้ส้มตำกับนักข่าวที่ร้านใกล้ๆ แต่-ตั้งแต่มีกำหนดหมายป่วนเมือง ๑๙ กันยา ทั้ง ส.ส. ทั้งนักข่าว และทั้งใครต่อใคร

เคลื่อนไหวที่พรรคเพื่อไทยแบบ "ไม่เคลื่อนไหว" ให้ปรากฏความเคลื่อนไหว จะเข้า-จะออก จะใช้เส้นทาง "ใต้ดิน"!

คือทั้งแปลกหน้า และไม่แปลกหน้า รวมทั้งหัวโล้นห่มเหลือง มากันมาก แต่เงียบเชียบมาก!?

ยิ่งตอนนี้มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ บรรทุกจานดาวเทียมมาจอดที่หน้าพรรค แล้วมีรถบรรทุกย่อยมาถ่ายจากรถใหญ่ กระจายกันนำจานไปติดตั้ง นัยว่า "ทีวีแดง" ปิดไป แต่ตอนนี้กำลังเริ่งเปิดสถานีใหม่ จึงรีบติดจานให้เครือข่ายเพื่อความสะดวกในการส่งสัญญาณนัดหมาย แต่จะเป็นสัญญาณประเภท

"ตกใจ-เผาเลย" อย่างนั้นหรือไม่ เรื่องในอนาคต อย่าไปเดา!

ผมก็ขอบอก-ขอบใจที่เป็น "นักข่าวพลเมือง" รายงานให้ผมทราบ และอยากบอกว่า ไม่ควรไปข้องอกข้องใจอะไรกับเพื่อไทย เพราะสภาพพรรคตอนนี้ ก็เหมือนงูไร้หัว ถ้ามีหัว ก็เป็นลักษณะ "งูหงอนไก่" หนึ่งตัว แต่หัวแย่งกันยุ่บ

ฉะนั้น ก็ใช่ สภาพในพรรคตอนนี้ จะพิลึกชวนสยอง ควรปล่อยให้ "ไปจนถึงที่สุด" ด้วยตัวเขาเอง อย่าไปขัดขวาง หรือทำอะไรให้เกิดอาการสะดุด-หยัดชะงัก ประชาชนที่หลงเชื่อหัวปัก-หัวปำ ก็จะได้ตั้งหัวได้ ที่ตั้งแล้วแต่ยังสองจิต-สองใจ จะได้ชัดเหลือใจเดียว และที่ชัดในพฤติกรรม ข้างหน้าพรรค-ข้างในแก๊ง จะได้พบแสงสว่างเสียที

เพื่อไทยนั้น ไม่มีใครทำ ความตกต่ำล้วนมาจาก "ทำกันเอง" ทั้งสิ้น การเผาบ้าน-เผาเมืองที่เห็นอยู่ทนโท่ มันอยู่เหนือการกะล่อนปล้อนปลิ้นกล่าวหารัฐบาล-ทหาร-ตำรวจว่า "ฆ่าประชาชน" ๘๐-๙๐ ศพอะไรนั่น ทำเป็นไก๋ เค้นคอถามทางการว่า..ใครฆ่าบ้าง จะไปฟ้องยูเอ็นบ้าง ที่แท้ก็...โธ่เอ๊ย

พวกคุณนั่นแหละ...ตัวดี

เปลว สีเงิน

000000000

เชียร์นายกด้วยคนป๋า อาราธนาพระเครื่องลำพูนขึ้นคอไว้เลย...

ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคนดี


ที่มา http://www.oknation.net/blog/canthai/2010/09/17/entry-5

ทำไมกาแฟดำบอกว่า นอนตายตาหลับ เมื่อนักศึกษากล้าลุกขึ้นถามนายกฯว่า ทำไมไม่ลาออก


นิมิตหมายอันดียิ่ง เมื่อนักศึกษาซักนายกฯ 'ทำไมไม่ลาออก'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ได้เห็นและได้ยินตัวแทนนิสิตนักศึกษา ซักถามนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ทำเนียบรัฐบาลตรงไปตรงมา (ที่บางคนบอกว่า "ดุ" และ "แรง" นั้น)

ก็ยังพอมีความหวังใน "อนาคตของชาติ" มากขึ้นระดับหนึ่ง

หลังจากที่มีผู้คนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่า คนรุ่นใหม่ของสังคมไทย ไฉนจึงนิ่งเฉยกับเรื่องการบ้านการเมืองกันนัก รู้จักแต่เดินห้างและเกาะติดละครน้ำเน่าเท่านั้นหรือ

คำถามของนักศึกษาหลายคน ที่ลุกขึ้นซักนายกฯ ว่า ทำไมไม่เลิกใช้กฎหมายฉุกเฉิน ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เกินปกติ หรือที่บอกให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อปูทางสู่การเลือกตั้ง ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ "ควรจะถาม" และ "ต้องถาม" จากคนหนุ่มคนสาว ที่ได้ร่ำเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยของประเทศ

ผมจึงไม่เห็นว่าเป็นคำถามที่ "ดุ" หรือ "แรง" เกินกว่าที่ควรจะเป็นแต่อย่างไร

หากตัวแทนนักศึกษามาแสดงความชื่นชม หรือ "อวยพร" นายกฯ ซิ ผมจะถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ และจะต้องเป็นการ "จัดฉาก" จากคนรอบข้างนายกฯ อีกแล้ว

ผมเห็นนายกฯ ยิ้มตอนที่นักศึกษาคนหนึ่งบอกให้นายกฯ "ลาออกจากตำแหน่ง" และพยายามจะตอบคำถามจากแง่มุมของตน

โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าเสรีภาพของคนแสดงความคิดเห็นด้านการเมืองวันนี้ กำลังถูก "คุกคาม"

นายกฯ ชี้ให้เห็นว่าเสรีภาพการแสดงความเห็นของ "คนทุกฝ่าย" ต่างก็ถูกคุกคามเหมือนกัน

ถ้านักศึกษาถือป้ายประท้วงรัฐบาลถูกจับ ก็ต้องถือว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพอย่างชัดแจ้ง

ขณะเดียวกัน ถ้าคนแสดงความเห็นต่อต้านคนบางกลุ่ม ที่ใช้ความรุนแรงประหัตประหารกัน ในสังคมไทยถูกคุกคาม ก็จะต้องถือว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพเช่นกัน

กรณีแรก รู้ว่าจะไปประท้วงใคร กรณีหลังไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ จึงไม่อาจจะไปประท้วงใครได้

การที่ตัวแทนนักศึกษามายืนวิจารณ์นายกรัฐมนตรี และออกอากาศได้ทุกถ้อยประโยค ไม่ว่าใครจะเห็นว่า "ดุและแรง" เพียงใดนั้น ผมถือว่าเป็นนิมิตหมายอันควรที่จะต้องปกปักรักษาเอาไว้อย่างยิ่ง

เพราะอย่างน้อยก็ยืนยันว่าแม้ใครจะอ้างสิทธิที่จะใช้กฎหมาย ที่ให้อำนาจฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครสามารถมาห้ามปรามยับยั้งสิทธิ ของการแสดงออกของคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลได้

และหากรัฐบาลใช้อำนาจใดๆ ในการคุกคามเสรีภาพของการแสดงออกของคนไทย ก็ไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ได้ เพราะสื่อสารมวลชนทุกประเภท รวมไปถึง new media และ social media ก็สามารถกระจายข่าวสารการกระทำที่ลิดรอนเสรีภาพของประชาชนคนไทยได้อย่างกว้างขวาง และองค์กรระหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ก็จับตาดูการกระทำของทุกฝ่ายในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

พูดง่ายๆ คือ ไม่มีฝ่ายไหนในสังคมไทยจะคุกคามเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยไม่ถูกเปิดโปงและตรวจสอบอีกต่อไปแล้ว

หากอำนาจรัฐไปสั่งปิดสื่อใดโดยไม่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายที่เป็นธรรม ก็ไม่อาจจะใช้อำนาจนั้นโดยไม่ถูกตรวจสอบ

นักศึกษาเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณระลอกใหม่ของทุกสังคมที่มีการพัฒนา ดังนั้น เราจึงคาดหวังว่าคนรุ่นใหม่ จะต่อสู้เรียกร้อง "สังคมในอุดมคติ" อย่างที่พวกเราทั้งหลายอยากจะเห็น

และเพราะความคิดเห็นของหนุ่มสาวในทุกสังคมนั้น มีคุณสมบัติพิเศษ คือ "บริสุทธิ์" และมีความ "ใสสะอาด" ในเป้าหมาย ไม่ถูกเจือจางหรือขุ่นมัวด้วยอำนาจเงินและการเมือง ผู้มีอำนาจจะต้องรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ มากกว่ากลุ่มคนที่มีผลประโยชน์ผูกพันกับกลุ่มการเมืองใดๆ ด้วยซ้ำไป

ผมรอฟังนิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ ลุกขึ้นเรียกร้องเสรีภาพการแสดงออก "ดุและแรง" ไม่น้อยไปกว่าการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ และรณรงค์คัดค้านกลุ่มการเมือง ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

ผมชื่นชมยินดียิ่งที่ได้ยินเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษา เพราะนั่นทำให้มีความหวังในอนาคตของบ้านเมืองมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ผมก็หวังจะได้ยินเสียงวิพากษ์จากนักศึกษา ที่ไม่ต้องการเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มใด มีความคิดเห็นเป็นอิสระ และสามารถวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง อย่างรอบด้านและมุ่งเข็มตรงไปเฉพาะ "สาธารณประโยชน์" อย่างแท้จริง

ผมอิจฉานักศึกษาวันนี้ ที่สามารถยืนวิพากษ์นายกรัฐมนตรีต่อหน้าได้อย่างเปิดเผย

เพราะในวันคืนแห่งอดีตสมัยผมเป็นนักศึกษานั้น แม้ ธีรยุทธ บุญมี และ เสกสรร ประเสริฐกุล ก็ไม่มีโอกาสที่จะยืนต่อหน้านายกฯ ถนอม กิตติขจร และจอมพล ประภาส จารุเสถียร เพื่อจะถามว่า

"เมื่อไรพวกท่านจะยุติการเป็นเผด็จการทหารอย่างเบ็ดเสร็จ"

และไม่มีผู้นำนักศึกษาคนใดมีโอกาสลุกขึ้นถาม คุณทักษิณ ชินวัตร ตอนเป็นนายกฯ ว่า

"ทำไมท่านยังไม่ลาออก"

ดังนั้น พอผมเห็นนักศึกษาลุกขึ้นถามนายกฯ อภิสิทธิ์ ต่อหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า "ทำไมท่านไม่ลาออก" ผมจึงบอกตัวเองว่า ผมนอนตายตาหลับแล้ว

กาแฟดำ

000000000

Image

ความเห็น...

เป็นเรื่องถกเถียงตามเว็บบอร์ดอยู่พอสมควรเกี่ยวกับบทบาทของ สนนท. ที่มีการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนสอดประสานเสื้อแดงในห้วงนี้ จนในการปาฐกถาปลุกเร้ากำลังใจพลพรรคเพื่อไทยของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก่อนเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยเมื่อไม่กี่วันนี้ว่า...

"ที่ผ่านมาเราละเลยกลุ่มมวลชนหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เพราะสนนท. คือ ลูกหลานที่เป็นความหวังของประเทศชาติ ทีได้มีการแสดงออกถึงความเป็นห่วงบ้านเมืองโดยมีการยื่นหนังสือถึงนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้แสดงความรับผิดชอบกรณีคนเสื้อแดง ...แต่นายกฯไม่สนใจ รัฐบาลกลับปฎิเสธ...!"

หลากหลายความเห็นเกี่ยวกับบทบาทของ สนนท. ว่าเคลื่อนไหวโดยการชักนำของอาจารย์เสื้อแดงทั้งหลายหรือไม่? เป็นตัวแทนของนิสิตนักศึกษาจริงๆ หรือไม่?

ผมมองว่า นิสิตนักศึกษา ทุกยุคทุกสมัยมีความคิดขบถในตัวมาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยมีโอกาสมาแสดงออก นิสิตนักศึกษาคือ "เสรีชน" คิดเองเป็นตามตำราที่ตนร่ำเรียนมา

ทุกความเคลื่อนไหวเชื่อว่ามาโดยบริสุทธิ์และสันติ อหิงสา ต้องการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี

เมื่อปี 2548 สนนท. ก็ทำหน้าที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาแล้ว

มาพลิกขั้วกลับข้างเมื่อมีการปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 ในขณะที่พันธมิตรเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เมื่อมีการปฏิวัติ

และมีคำแก้ตัวในใจว่า "แม้ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่ก็เข้าใจว่าทำไมต้องปฏิวัติ"

ก็ตามประสาคนเกลียดเผด็จการ และแม้จนปัจจุบันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้เปลี่ยนคณะกรรมการ สนนท. ไปกี่ชุดก็ตาม เจตนารมณ์และอุดมการณ์ของเสรีชนก็ไม่เคยเปลี่ยน

ความเชื่อเหล่านั้นจึงสอดประสานกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่ยังชิงชังรังเกียจ "เผด็จการ" ตามแต่ดีกรีของความเกลียดชังนั้นจะแสดงออกมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งบทบาทของคนเสื้อแดงในวันนี้

สำหรับบทความ "กาแฟดำ" วันนี้ มีหลากหลายคำถาม

"ทำไมกาแฟดำบอกว่านอนตายตาหลับ?"

ก็อาจจะมองได้หลากหลาย อาจจะเป็นเพราะว่าได้เห็นบรรยากาศประชาธิปไตยเต็มใบ

ถึงเด็กไม่ถาม นักข่าวก็ต้องถาม สังคมก็ต้องถาม ปล่อยข้ามไม่ได้

เพราะมันเป็นวิถีของเสรีชน แม้แต่เดินทางไปต่างประเทศต่างชาติก็ถาม นายกก็ต้องตอบ

และนอนตายตาหลับที่นักศึกษากล้าคิด กล้าถาม

นอนตายตาหลับที่คนรุ่นหลังใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา

นอนตายตาหลับที่ประเทศไทยมีนายกกล้าตอบทุกคำถาม

นอนตายตาหลับ เมื่อประเทศไทยมีบรรยากาศแห่งเสรีภาพ

นอนตายตาหลับที่ไม่เห็นผู้นำประเทศตอบคำถามประชาชนว่า "ไม่สร้างสรรค์"

และนอนตายตาหลับเพราะผู้นำประเทศไม่ตอบคำถามสังคมว่า

เมื่อคืนคุณเสพเมถุนกับใคร?

ถ้าฝ่ายเผด็จการชอบบอกว่า ทหารแก่ไม่มีวันตาย ผมก็ต้องแถมอีกคำหนึ่งว่า

พลังนิสิตนักศึกษาประชาชนก็ไม่มีวันตายเช่นกัน.

แคน ไทเมือง

ที่มา http://www.oknation.net/blog/canthai/2010/09/17/entry-1

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว

คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่

เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ? เด็กบอกอย่างสุภาพ

อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมา ทีละตัว เขานับ…แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น ไหนว่ามีเจ็ดต ัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ? เด็กชายถาม

เจ้าของร้านตอบว่า อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี
มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้

สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน

ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ เห็นได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก

เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ? ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ เจ้าของร้านตอบ

เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น

ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้ เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย

เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?

ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริง อาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม?

เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า คุณอาดูอะไรนี่สิครับ

ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น

เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้

คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ?

เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา

เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ ในราคาสองพันบาท เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอโทษขอโพย ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป

เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง ที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก

………………..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

ที่มา : นิทานสีขาว
เล่าโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

LINK
http://happyhappiness.monkiezgrove.com/2010/07/22/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82-7/